บุกโรงงานอาหารแช่แข็ง

แค่ปลายนิ้วกับอีกไม่กี่นาที จากอาหารที่ต้องเข้าคิวรอ และยุ่งยากในการทำ ก็พร้อมเสิร์ฟเป็นอาหารจานด่วนให้รับข้าวมันไก่ ข้าวผัดกะเพรา ข้าวขาหมู หรือแม้แต่ข้าวไข่เจียว เชื่อหรือไม่ว่า เดี๋ยวนี้ได้กลายมาเป็นอาหารแช่แข็ง สำเร็จรูปไปเรียบร้อยแล้ว เพราะทั้งง่าย สะดวกสบาย เพียงแประทานกันแล้ว แต่กว่าจะมาเป็นอาหารแช่แข็งหลาย 100 เมนู ที่พบเห็นได้ตามห้างสรรพสินค้า หรือร้านสะดวกซื้อทั่วไปนั้น ขั้นตอนการผลิตจะยุ่งยากแค่ไหน ต้องใช้วัตถุดิบมากน้อยเพียงใด เทคโนโลยีทำความเย็นเกี่ยวข้องกับการถนอมอาหารอย่างไร และที่สำคัญ ยังคงคุณค่าทางสารอาหารได้จริงหรือไม่ ความลับทุกอย่างจะถูกละลายใน กบนอกกะลา

อาหารแช่แข็ง เป็นนวัตกรรมการถนอมอาหาร ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการ ของโลกในยุคปัจจุบัน ที่สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นสังคมเมืองมากขึ้น ผู้คนต่างต้องการความสะดวกสบาย และใช้ชีวิตอย่างสำเร็จรูปมากยิ่งขึ้น อาหารแช่แข็งจึงกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ของคนในยุคนี้ แต่กว่าจะมาเป็นอาหารแช่แข็งอย่างทุกวันนี้ได้นั้น เชื่อหรือไม่ว่า เป็นการค้นพบโดยบังเอิญ เมื่อกว่า 90 ปีที่แล้ว โดย นักสำรวจ ชาวอเมริกัน คาร์เรนซ์ เบิร์ดอาย ครั้งเมื่อไปสำรวจดินแดน อาร์กติก บริเวณแถบขั้วโลกเหนือ ที่สังเกตเห็น ชาวบ้านทำการจับปลา แต่ได้ปริมาณมากเกินการบริโภค จึงนำปลาเหล่านั้นใส่ถัง แล้วนำไปแช่ในทะเลน้ำแข็ง เมื่อนำกลับมารับประทานรสชาติของปลาก็ยังคงเดิม เขาจึงนำความรู้นี้ กลับมาพัฒนาต่อยอด จนสามารถประดิษฐ์และคิดค้นเครื่องแช่แข็งอาหารได้เป็นเครื่องแรกของโลก ก่อนจะถูกพัฒนาตามยุคตามสมัย จนมาถึงทุกวันนี้
จากการพัฒนานวัตกรรมการแช่เย็นอาหาร จนปัจจุบัน อาหารแช่แข็ง ได้รับความนิยมในการบริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีมากกว่าร้อยชนิด ที่ถูกแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ นั้นก็คือ อาหารพร้อมปรุง และอาหารพร้อมทาน ยิ่งประเภทหลังนี้ จากเมื่อก่อนเคยเป็นเมนูกระทะร้อนๆ มาวันนี้ ต่างทยอยเข้ามาอยู่ในตู้แช่อุณหภูมิติดลบกันแทบทั้งสิ้น ภายใต้การผลิตจากโรงงานใหญ่ๆ มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ บ.พรานทะเล จำกัด (มหาชน) ที่มีกำลังการผลิตมากถึง 2 หมื่นกล่องต่อวัน หรือ 7 ล้าน 3 แสนกล้องต่อปี ที่มีให้เลือกถึง 40 เมนูเลยทีเดียว

ฉะนั้นเมื่อต้องผลิตอาหารแช่แข็งมากขนาดนี้ ปริมาณวัตถุดิบ จึงต้องไม่ธรรมดา เพราะในแต่ละวัน จะมีวัตถุดิบมาส่งไม่ต่ำกว่า 100 ตัน ที่ถูกรวบรวมมาจากทั้งในและต่างประเทศ ที่ล้วนแล้วเป็นอาหารทะเล ไม่ว่าจะเป็นกุ้งขาว ปลาหมึก หรือแม้แต่ปลาแซลมอน ที่มาไกลจากประเทศนอร์เวย์ ต่างก็ถูกลำเลียง และประคบประหงม ภายใต้อุณหภูมิติดลบ 18 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาความสด และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ฉะนั้นการลำเลียง ขนถ่าย จึงต้องแข่งกับเวลา เพราะจะให้วัตถุดิบสัมผัสกับอุณหภูมิปกติได้ไม่เกิน 30 นาทีเท่านั้น

นอกจากความอลังการของวัตถุดิบหลักแล้ว ความมหาศาลของบรรดาเครื่องปรุง อาหารแห้งก็ใช่ย่อย ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร น้ำปลา น้ำตาล และอีกสารพัด ที่ต้องใช้ไม่ต่ำกว่า 100 ชนิด ต่างก็มีมากเช่นเดียวกัน มากถึงขนาดที่จะต้องใช้พื้นที่เก็บถึง 600 ตารางเมตร  และมีความสูงเทียบเท่าตึก 4 ชั้นเลย เรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์สโตร์ย่อมๆ ก็ว่าได้ เมื่อต้องใช้วัตถุดิบเยอะขนาดนี้ การจัดการเพื่อที่จะให้ได้อาหารแช่แข็งทั้งหมด 2 หมื่นกล่องต่อวันได้นั้น เรียกได้ว่าไม่ได้ง่ายอย่างการเข้าครัวที่บ้าน เพราะต้องผ่านด่านปราการอีกมากมาย

การถนอมอาหารโดยใช้ความเย็น
การใช้ความเย็นเพื่อเก็บรักษาอาหารสามารถทำได้หลายวิธีแต่ก่อนที่จะกล่าวถึงการเก็บรักษาควรจะรู้จักความหมายของคำต่อไปนี้ก่อนคือการให้ความเย็นหมายถึงกรรมวิธีการกำจัดความร้อนออกจากสิ่งของหรือพื้นที่ที่ต้องการทำให้เย็นหรือต้องการให้มีอุณหภูมิลดลงซึ่งการทำให้เย็นนี้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ
   1. การแช่เย็น หมายถึง การทำให้อุณหภูมิของสิ่งของนั้นลดลงแต่อยู่เหนือจุดเยือกแข็งของสิ่ง นั้นโดยของสิ่งนั้นยังคงสภาพเดิมอยู่ ความเย็นจะ ไม่สามารถทำลายจุลินทรีย์ แต่จะช่วยชะลอการเจริญของจุลินทรีย์ ที่จะทำให้อาหารเน่าเสีย และ จะช่วยลดปฏิกิริยาของเอนไซม์ที่มีส่วนทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของอาหาร ดังนั้น การแช่เย็นอาหารจึงเป็นการช่วยยืดอายุการเก็บรักษาอาหารเพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
    2. การแช่แข็ง หมายถึง การทำให้อุณหภูมิของ สิ่งของนั้น ลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็งของสิ่งนั้น    (-1°ถึง-4°ซ.)                การแช่แข็งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนสภาพในองค์ประกอบของสิ่งของที่ถูกทำให้เย็นลง เช่น ในกรณีที่เป็นอาหาร ความเย็นจัด จะทำให้น้ำในเนื้อเยื่อของอาหารแปรสภาพเป็นน้ำแข็ง ซึ่งจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารไม่สามารถนำไปใช้ได้แต่ความเย็นจัดไม่ได้ทำลายจุลินทรีย์ให้ตาย ดังนั้น การแช่แข็งจึงไม่สามารถถนอมอาหารได้สมบูรณ์แต่จะช่วยยืดอายุการเก็บรักษาได้นานขึ้นและนานกว่าการแช่เย็น

กรรมวิธีการถนอมอาหารด้วยความเย็น
   1.การใช้น้ำแข็ง  ความเย็นของน้ำแข็งที่ใช้ในการแช่อาหารจะทำให้อุณหภูมิของอาหารลดลงได้เร็ว และถ้ามี ปริมาณเพียงพอจะทำให้อาหารนั้นเย็นลงจนมีอุณหภูมิใกล้เคียงกับ 0°ซ. เหมาะสำหรับการเก็บรักษาสัตว์น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลาสด ซึ่งจะ สามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 1 สัปดาห์
   2.การใช้สารผสมแช่แข็ง การใช้น้ำแข็งผสมเกลือแกง หรือเกลือ อนินทรีย์อื่น  ๆ จะทำให้ได้สารผสมที่มีอุณหภูมิ ต่ำกว่า 0°ซ. ทั้งนี้เพราะจุดเยือกแข็งของน้ำบริสุทธิ์ที่ 1บรรยากาศ มีค่าเท่ากับ 0°ซ. แต่ถ้ามีการเติมสารที่แตกตัวได้ เช่น เกลือแกงจะทำให้จุดเยือกแข็งลดลง เช่น ถ้าเติมเกลือแกงลงไปในน้ำแข็งในอัตราส่วน 1 : 3 จะทำให้อุณหภูมิของ น้ำแข็งนั้นลดลงถึง -18 °ซ. ซึ่งในสมัยก่อนใช้ วิธีนี้มากในการปั่นไอศกรีมโดยใช้มือหมุนถัง ทำให้ส่วนผสมของไอศกรีมแข็งตัวเร็วขึ้น ปัจจุบันใช้วิธีนี้ในการเก็บรักษาปลาสด และการรักษาความเย็นของอาหารแช่แข็งที่บรรจุใน ภาชนะสำหรับการขนส่ง
   3. การใช้น้ำแข็งแห้ง  น้ำแข็งแห้ง คือ คาร์บอนไดออกไซด์ที่เย็นจนแข็ง มีอุณหภูมิประมาณ          -80 °ซ. ใช้ในการเก็บรักษาอาหารที่ผ่านการแช่แข็งมาแล้ว เหมาะสำหรับการขนส่งในระยะเวลา 2-3 วัน แต่ไม่เหมาะสำหรับการให้ความเย็นโดยให้น้ำแข็งแห้งสัมผัสกับอาหารโดยตรง เนื่องจากมีความแตกต่าง กันมากระหว่างอุณหภูมิของอาหารกับน้ำแข็งแห้งอาจทำให้ผิวสัมผัสของอาหารเสียหายได้
   4. การใช้ไนโตรเจนเหลวไนโตรเจนเหลวที่ความดันปกติจะระเหยกลายเป็นไอที่อุณหภูมิ -196°ซ. อุณหภูมินี้เป็นอุณหภูมิต่ำสุดที่สามารถจะทำให้อาหารเย็นลงได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากไนโตรเจนเป็นก๊าซเฉื่อยไม่เป็นอันตรายกับอาหารและผู้บริโภคจึงนิยมนำมาใช้กับอาหารแช่แข็งโดยเฉพาะในปัจจุบันแต่ไม่นิยมแช่อาหารสดในไนโตรเจนเหลวส่วนมากจะใช้ร่วมกับเครื่องทำความเย็นแบบสายพานจะเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องทำความเย็น เหมาะสำหรับการแช่แข็งอาหารกึ่งสำเร็จรูป และ อาหารสำเร็จรูปแทบทุกชนิด
   5. การใช้เครื่องทำความเย็น เครื่องทำความเย็นที่ใช้กันโดยทั่วไปโดย เฉพาะตามบ้านเรือน คือ ตู้เย็นปัจจุบันตู้เย็นมีช่องทำความเย็นแยกส่วนกันบางชนิดมี 2 ช่อง คือ ช่องเก็บอาหารทั่วไป อุณหภูมิประมาณ  4 °ซ. กับช่องแช่แข็ง อุณหภูมิประมาณ -10°ซ. ตู้เย็นบางชนิดแยกเป็นหลายส่วนโดยมีช่องเก็บอาหารพิเศษบางประเภทเพิ่มขึ้น เช่น ที่เก็บผักสด
   6. การใช้เครื่องทำความเย็นในระบบอุตสาหกรรม การทำอุตสาหกรรมอาหารแช่แข็ง จำเป็นต้องใช้เครื่องทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพสูงจึงจะทำให้คุณภาพของอาหารแช่แข็งใกล้เคียงกับคุณภาพเดิมก่อนการแช่แข็งมากที่สุด ขณะนี้อาหารแช่แข็งที่ทำเป็นอุตสาหกรรมและส่งขาย ต่างประเทศในแต่ละปีซึ่งนำเงินตราต่างประเทศเข้าเป็นจำนวนมากคือกุ้งเยือกแข็งและไก่สดเยือกแข็ง

เทคนิคการแช่แข็งอาหาร
เมื่อเราไปจ่ายตลาดแล้วซื้อของมามากเกินไป เราจะเก็บใส่ตู้เย็นแบบไหนให้ของสดสะอาดอายุการเก็บยาวนาน                   เรามาใช้ตู้เย็นในการยืดอายุการเก็บรักษาวัตถุดิบสำหรับทำอาหารโดยอาศัยความเย็นที่เหมาะสมเป็นตัวยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย มาเช็คและเตรียมพร้อมตู้เย็นกัน
   - ตั้งอุณหภูมิตู้เย็นให้ต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส ส่วนช่องแข็งให้ตั้งเอาไว้ที่ -18 องศาเซลเซียส ถ้าให้ดีเราควรใช้เทอรโมมิเตอร์ในการตั้งอุณหภูมิ
   - ควรเช็ควันหมดอายุของ ของที่ซื้อมา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ต่างๆ ใช้วิธีแช่แข็งจะช่วยให้ยืดวันหมดอายุได้มากกว่าที่ระบุไว้ เมื่อเปิดห่อเมื่อไหร่ควรที่จะใช้ให้หมด แต่ถ้าใช้ไม่หมดให้รีบเก็บเข้าตู้เย็นทันที แต่ถ้าของที่ซื้อมาไม่มีวันระบุ ให้เตรียมของโดยแบ่งเป็นชุดๆ เท่าที่จำเป็น และเขียนวันที่ซื้อเอาไว้
   - อาหารที่ปรุง หรืออาหารที่เหลือ เราควรเก็บในตู้เย็นทันทีก่อนที่อุณหภูมิอาหารจะลดลงเท่ากับอุณหภูมิห้อง อาหารที่เหลือมากให้เลือกใช้ภาชนะก้นตื้นในการเก็บเข้าตู้เย็น ไม่ควรเก็บนานเกินกว่า 3-4 วัน
   -  ลดการปนเปื้อนของแบคทีเรียในของสดและของที่ปรุงสุกแล้ว ไม่ควรเก็บผักสลัดกับเนื้อไก่ที่ปรุงสุกแล้ว ส่วนผัก ผลไม้ที่หั่นแล้วควรเก็บเข้าตู้เย็นภายใน 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรีย

ข้อควรรู้เมื่อต้องละลายอาหารแช่แข็ง
- เอาอาหารแช่แข็งลงมาพักไว้ที่ช่องธรรมดา เมื่อละลายเรียบร้อยแล้วค่อยนำไปใช้ หากไม่ได้ใช้โยที่ยังไม่ได้เอาออกมาจากตู้เย็น ก็สามารถใส่กลับไปที่ช่องแข็งได้ แต่คุณค่าทางอาหารจะลดลง
- ให้ละลายอาหารแข็ง โดยนำไปแช่ในน้ำเย็น ต้องระวังไม่ให้ภาชนะที่ใส่อาหารเสียหาย ให้เปลี่ยนน้ำทุก 30 นาที เพื่อช่วยให้ละลายได้เร็วขึ้น
- ใช้ไมโครเวฟในการละลายน้ำแข็ง เมื่อละลายแล้วควรรีบใชทันที แต่ถ้านำไปปรุงสุกแล้วเหลือ ก็สามารถนำมาแช่แข็งเก็บไว้ได้
- การละลายน้ำแข็ง โดยใช้อุณหภูมิห้องหรือใช้น้ำร้อน ต้องรีบใช้ให้หมดในครั้งเดียว
หากเราเก็บรักษาอาหารโดยการแช่แข็งและการละลายอาหารแช่แข็งอย่างถูกวิธีแล้ว จะทำให้เราเก็บอาหารได้ยาวนานขึ้นแถมคุณค่าอาหารยังคงเดิม 
นายวงศธร  มีพันธุ์  เลขที่ 6 ม.5/1


อ้างอิง
รายการกบนอกกะลา ตอนสูตรลับฉบับความสด



เจาะลึกว่านหางจระเข้

       ในปัจจุบันมีเด็กจำนวนมากที่เล่นซุกซนจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ และหนึ่งในนั้นคืออุบัติเหตุที่เกิดจากการถูกน้ำร้อนลวก หรือโดนของร้อน สิ่งแกที่พ่อแม่จะทำคือ ไปซื้อยามาทาให้กับลูก นอกจากจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายแล้ว บางครั้งก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยอาจหลงเหลือรอยแผลเป็น เนื่องจากปล่อยไว้นานจึงทำให้แผลยากแก่การักษา ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น ทำไมเราไม่ลองมองหาสมุนไพรที่อยู่ใกล้ตัว ที่สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดแลรอยแผลเป็นจากการโดนความร้อนอย่างว่านหางจระเข้ดูล่ะ
       ว่านหางจระเข้ หางตะเข้ หรือว่านไฟไหม้ คืออีกหนึ่งพรรณไม้ไทยที่นิยมปลูกไว้ติดบ้าน โดยจะมีลักษณะดังนี้ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง 0.5-1 เมตร ลำต้นเป็นข้อปล้องสั้น  ใบ เป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกเรียงเวียนรอบต้น ใบหนา  และยาว ส่วนปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหนามแหลมห่างกัน แผ่นใบหนาสีเขียว มีจุดยาวสีเขียวอ่อน อวบน้ำ ข้างในเป็นวุ้นใสสีเขียวอ่อน ดอก ออกเป็นช่อกระจายที่ปลายยอด ก้านช่อดอกยาว ดอกสีแดงอมเหลือง โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 6 แฉก เรียงเป็น 2 ชั้น รูปแตร
       ถึงแม้ว่าว่านหางจระเข้จะเป็นต้นไม้ทนแล้ตายยากก็จริง แต่การที่จะปลูกต้นไม้ให้งามนั้น ออกจะเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับต้นไม้  ในการปลูกต้นว่านหงจระเข้นั้น เราต้องย่อยดินเป็นก้อนเล็กๆเสียก่อน แล้วนำดินมา 3 ส่วน ผสมใบไม้แห้งผุที่ย่อยเป็นเศษเล็กๆ 1 ส่วน ผสมปุ๋ย 1 ส่วน ผสมทราย 0.5 ส่วน เคล้าให้เข้ากัน จะได้ดินร่วนซุยที่เหมาะสมกับว่านหางจระเข้  จากนั้นก็นำว่านหางจระเข้ลงกระถาง แต่มีข้อแม้ว่าเป็นกระถางใหญ่และลึก ขนาดปากกว้าง ประมาณ 1 ฟุต ขึ้นไป แต่ถ้านำมาปลูกลงดินก็จะโตเร็วกว่า และควรปลูกในที่ร่มรำไรตลอดวัน เนื่องจากว่านหางจระเข้ไม่ชอบแดดจัด และไม่ควรปลูกใต้ชายคาหรือบริเวณที่น้ำค้างลงไม่ถึง การรดน้ำ ควรจะรดวันละ 1-2 ครั้ง ให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่ต้องระวังอย่าให้ดินแฉะชื้นจนเกินไป
       ว่านหางจระเข้นั้น จัดเป็นพืชที่มีสรพคุณต่างๆมากมาย สามารถใช้บรรเทาโรคทั้งภายนอกและภายในร่างกาย อีกทั้งยังใช้บำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย

ประโยชน์ภายใน
       1.เป็นยาถ่าย ใช้น้ำยางสีเหลืองที่มีรสขม คลื่นไส้ อาเจียน น้ำยางสีเหลืองที่ไหลออกมาระหว่างผิวนอกของใบกับตัววุ้น จะให้ยาที่เรียกว่า ยาดำ วิธีการทำยาดำ คือ ตัดใบว่านหางจระเข้ให้เป็นรูปสามเหลี่ยม ต้นที่เหมาะจะตัดควรมีอายุ 9 เดือน ขึ้นไป ตัดใบว่านหางจระเข้ที่โคนใบและปล่อยให้น้ำยางไหลลงภาชนะ นำไปเคี่ยวให้ข้น เทลงในพิมพ์ ทิ้งไว้จะแข็งเป็นก้อน ขนาดที่ใช้เป็นยาถ่ายก็ประมาณ 250 มิลลิกรัม หรือประมาณ 1-2 เมล็ดถั่วเขียว
        2.แก้กระเพาะ ล้ำไส้อักเสบ เอาใบมาปอกเปลือกออกให้เหลือแต่วุ้น แล้วใช้รับประทานวันละ 2 เวลา ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ
       3.แก้อาการปวดตามข้อ โดยการดื่มว่านหางจระเข้ทั้งน้ำ วุ้น หรืออาจจะใช้วิธีปกส่วนนอกของใบออกเหลือแต่วุ้น นำไปแช่ตู้เย็นให้เย็นๆ จะช่วยให้รับประทานได้ง่าย รับประทานวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ เท่ากับ 2 ช้อนแกง
       4.ป้องกันโรคเบาหวาน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร ไปรับประทานทุกวัน หรือจะนำไปปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เพื่อนำมารับประทานก็ได้ โดยอาการเบาหวานจะทุเลาลงสำหรับผู้ที่เป็นในระยะแรก ส่วนผู้ที่รับประทานเพื่อป้องกันสามารถรับประทานในปริมาณที่น้อยลงได้
       5.แก้หรือป้องกันอาการเมารสหรือเมาเรือ หากมีปัญหาในเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ ขอแนะนำให้รับประทานเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้ ก่อนออกเดินทางก็จะช่วยให้เกิดอาการดังกล่าวน้อยลง

ประโยชน์ภายนอก
       1.รักษาแผลไฟไหม้ และน้ำร้อนลวก ใช้วุ้นในใบสดทา หรือแปะให้แผลเปียกอยู่ตลอดเวลาใน 2 วันแรก แผลจะหายเร็วมาก จะบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน หรืออาการปวดจะไม่เกิดขึ้น
       2.ผิวไหม้เนื่องจากถูกแดดเผา และแก้แผลเรื้อรังจากการฉายรังสี การป้องกันการถูกแดดเผานั้น ทำได้โดยทาว่านหางจระเข้ผสมน้ำมันพืชก่อนออกแดด ส่วนการรักษาผิวหนังที่ถูกแดดเผามา สามารถทำได้โดยการทาด้วยวุ้นของว่านหางจระเข้บ่อยๆ
       3.แผลจากการถูกของมีคม แก้ฝี แก้ตะมอย และแผลที่ริมฝีปาก เป็นการรักษาแบบพื้นบ้าน โดยล้างใบว่านหางจระเข้ให้สะอาด บาดแผลก็ต้องทำความสะอาดเช่นกัน นำวุ้นมาแปะตรงผิวให้มิด ใช้ผ้าปิด หยอดน้ำเมือกลงตรงผิวให้เปียกอยู่เสมอ หรือจะเตรียมเป็นขี้ผึ้งก็ได้
       4.แผลจากการถูกครูดหรือถลอก แผลพวกนี้จะเจ็บปวดมาก ใช้ใบว่านหางจระเข้ล้างให้สะอาด ผ่าเป็นซีก ใช้ด้านที่เป็นวุ้นทาแผลเบาๆ ในวันแรกควรทาบ่อยๆ จะทำให้แผลไม่ค่อยเจ็บ และแผลหายเร็วขึ้น
       5.รักษาริสีดวง ลดอาการคัน โดยทำความสะอาดทวารหนักให้สะอาดและแห้ง ควรปฏิบัติหลังจากอุจจาระ หรือหลังอาบน้ำ เอาว่านหางจระเข้ปอกส่วนนอกของใบ แล้วเหลาให้ปลายแหลมเล็กน้อย เพื่อใช้เหน็บในช่องทวารหนัก
       6.แก้อาการปวดศีรษะ โดยเอาว่านหางจระเข้ทาปูนดังหนึ่ง เอาด้านทาปูนปิดตรงขมับ จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้
       7.รักษาตาปลาหรือฮ่องกงฟุต นำเนื้อวุ้นที่ล้างทำความสะอาดแล้ว ไปแปะบริเวณที่เกิดโรค หมั่นเปลี่ยนเนื้อวุ้นบ่อยๆ โดยหากเป็นตาปลาส่วนที่แห้งจะเกิดรูบุ๋มขึ้น ให้ใช้ว่านหางจระเข้ประคบต่อไปจนกว่ารอยบุ๋มจะสมานและเล็กลง ส่วนฮ่องกงฟุตให้ใช้ว่านหางจระเข้ปะคบจนกว่าแผลจะแห้งและอาการดีขึ้น
       8.บรรเทาอาการปวดฟัน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ออกเป็นแท่งเล็กๆประมาณ 2-3 เซนติเมตร นำไปเหน็บไว้ตามซอกฟันที่มีอาการปวด หรือประคบไว้ก็ได้ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที อาการปวดจะค่อยๆบรรเทาลง
       9.เป็นเครื่องสำอาง
             9.1วุ้นจากใบสดชโลมลงบนเส้นผม ทำให้ผมดก เป็นเงางาม ผมนุ่มสลวย เพราะวุ้นของว่านหางจระเข้ทำให้รากผมเย็น เป็นการช่วยบำรุงต่อมที่รากผมให้มีสุขภาพดี ผมจึงดกดำเป็นเงางาม นอกจากนี้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลบนหนังศีรษะด้วย
              9.2สตรีชาวฟิลิปปินส์ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้คลุกรวมกับเนื้อในของเมล็ดสะบ้า นำไปชโลมผมประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออก ใช้กับผมร่วง หนังศีรษะล้าน
             9.3รักษาผิวเป็นจุดด่างดำ ผิวด่างดำนี้อาจเกิดขึ้นจากอายุมาก หรือถูกแสงแดด หรือเป็นความไวของผิวหนังแต่ละบุคคล ใช้วุ้นทาวันละ 2 ครั้ง หลังจากได้ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยน้ำสะอาด ต้องมีความอดทนมาก เพราะต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ จึงจะหายจากจุดด่างดำ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ควรใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ทา จะทำให้ผิวหนังมีน้ำมีนวลขึ้น
             9.4รักษาสิว ยับยั้งการติดเชื้อ ช่วยลดความมันบนใบหน้า เพราะในใบว่านหางจระเข้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ
             9.5โรงพยาบาลรามาธิบดี กำลังลองใช้กับคนไข้ที่เป็นแผล เกิดขึ้นจากการนั่งหรือการนอนทับนานๆ

สูตรพอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้
       1.นำเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมดินสอพอง 1.5 ช้อนโต๊ะ ผสมไข่ขาว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันช่วยลดความมันบนใบหน้าได้
       2.นำเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมดินสอพอง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนชา และผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำไปพอกหน้าเพื่อลดความมัน และจุดด่างดำได้
       3.นำเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมดินสอพอง 1.5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำแตงกวา 1-2 ช้อนโต๊ะ นำไปพอกหน้า จะช่วยลดความมันบนใบหน้า และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าสดชื่นขึ้น
       4.นำเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมนมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ นำไปพอกหน้าเพื่อลดความมัน เพิ่มความกระจ่างใส โดยสามารถฝานแตงกวาเป็นแว่น มาแปะไว้บริเวณรอบดวงตาก็ได้
       5.นำเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมขมิ้นผง 2 ช้อนชา และผสมนมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ นำมาพอกเพื่อลดความมัน และเพิ่มความกระจ่างใส
       เมื่อสรรพคุณของว่านหางจระเข้มีอยู่มากมายรอบด้านขนาดนี้ ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เกิดจากว่านหางจระเข้ทยอยออกมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคมากขึ้น ปัจจุบันจึงมีผลิตภัณฑ์ที่ถูกแปรรูปจากว่านหางจระเข้อยู่หลายอย่าง จะยกตัวอย่างเช่น เช่น เจลพอกว่านหางจระเข้ ใช้เพื่อบำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบลอบจุดด่างดำ รักษาสิว เป็นต้น สามารถทำได้โดยเลือกใบจากว่านหางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยเลือกใบล่างสุด ซึ่งจะอวบ และมีวุ้นมาก นำมาแช่น้ำ เพื่อล้างยางสีเหลืองออกมาให้หมด จากนั้นปอกเปลือกออก แล้วนำวุ้นที่ได้มาล้างน้ำให้สะอาดอีกทีหนึ่ง นำวุ้นไปปั่นหรือขยำ ก็จะได้เจลว่านหางจระเข้ การใช้ว่านหางจระเข้ จะดีกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งจะมีปัญหาการคงตัวเมื่อถูกความร้อน วิธีใช้คือ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้ง และใช้เจลพอกให้ทั่วใบหน้า ยกเว้นรอบดวงตาและรอบปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก สูตรนี้เหมาะสำหรับคนผิวมัน คนผิวแห้งไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้เดี่ยวๆ ควรเติมน้ำมันมะกอก
กับไข่แดง ตีให้เข้ากัน แล้วจึงนำมาพอก

       ถึงแม้ว่าว่านหางจระเข้จะมีประโยชน์และข้อดีมากมาย แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง คือ ว่านหางจระเข้จะมีพิษอยู่ที่ยาง และลำต้นของมัน ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการ ดังนี้
       1.ทำให้เป็นไข้และปวดตามข้อ พ..2456 ประเทศฮังการี พบว่าเมื่อฉีดสารอะโลอิน ที่ได้จากยางของว่านหางจระเข้ให้กับสุนัข จะทำให้ไข้อยู่ประมาณ 1 วัน และเมื่อทดลองฉีดให้กับสัตว์ปีกทุกๆวัน จะทำให้ร่างกายมันสร้างกรดยูริกเพิ่มมากขึ้น จากปกติถึง 3 เท่าตัว ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการปวดตามข้อได้
       2.เพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร พ..2512 ที่รัสเซียมีการทดลองฉีดสารสกัดจากว่านหางจระเข้ให้กับสุนัขทุกวัน ติดต่อเป็นเวลา 20 วัน ปรากฏว่าทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดมากขึ้นกว่าเดิม แต่เมื่อหยุดใช้ยาการหลั่งกรดยูริกกลับอยู่สภาพเดิม 2-3 วัน
       3.ทำให้เป็นมะเร็งในจมูก พ..2498 อังกฤษพบว่าลำต้นว่านหางจระเข้ มีสารชนิดหนึ่งชื่อ เบนโซไพรินซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องทำให้คนเป็นมะเร็งในจมูก ดังสังเกตได้ว่าชาวแอฟริกาใต้ที่ชอบนัดยานัตถ์ที่บดจากลำต้นว่านหางจระเข้จะเป็นมะเร็งในจมูกอย่างมาก
       4.ใช้แล้วปวดมากขึ้น มีคนเคยใช้ว่านหางจระเข้แล้วปวดมากขึ้น คือ เท้าถูกตะขาบกัด ในตอนแรกใช้น้ำส้มสายชูอาการดีขึ้นเล็กน้อย จึงหันมาใช้ว่านหางจระเข้ พอนำวุ้นแปะลงไป ก็รู้สึกปวดขึ้นมาทันที ปวดทั้งขาและปวดหัวด้วย ปวดจนทนไม่ไหว จึงต้องเข้าโรงพยาบาล
ข้อควรระวัง
       1.ยางและยาดำที่ได้จากว่านหางจระเข้ ห้ามใช้รับประทานสำหรับผู้ที่มีอาการปวดท้อง อ่อนเพลีย ไตอักเสบ เป็นริดสีดวงทวารหรือหญิงมีครรภ์ หรือหญิงที่อยู่ระหว่างการให้นมบุตร เพราะอาจทำให้แท้งลูก
หรือลูกที่กินนมแม่ท้องเสีย
       2.ส่วนวุ้นและน้ำเมือก ห้ามให้คนที่แพ้ยาต่างๆง่าย หรือร่างกายขาความต้านทานยาต่างๆ เพราะกินว่านหางจระเข้ไปแล้วอาจเกิดผื่นคันที่ผิวหนัง
        เห็นไหมล่ะคะว่า ว่านหางระเข้มีประโยชน์ต่อเรามากมายแค่ไหน เราไม่ควรที่จะมองข้ามมันไป เพราะไม่เพียงแต่รักษาแผลจากสิ่งต่างๆ แต่ยังนำมาเป็นเครื่องสำอาง และยังนำมาเป็นเครื่องดื่มได้อีกด้วย แต่ในข้อดีของมันนั้น ก็ยังคงมีข้อเสียซ่อนอยู่ ดังนั้นเราควรที่จะใช้อย่างระมัดระวัง เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวของเราค่ะ
จัดทำโดย
นางสาวฐิติพร จันทวี เลขที่ 16  .5/1
อ้างอิง
นันทวัน  บุญยะประภัศ.สมุนไพรพื้นบ้าน(3).บริษัทประชาชน,กรุงเทพฯ.2542.823
สมสุข  มัจฉาชีพ.พืชสมุนไพร.พิมพ์ครั้งที่ 1.โรงพิมพ์นันทชัย,2534:150
พิมพร  ลีลาพรพิสิฐ,เครื่องสำอางสำหรับผิวหนัง,สนพ.โอเดียน สโตร์,กรุงเทพ,2532
กระปุกดอทคอม.ว่านหางจระเข้.[ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : http://  health.kapook.com  (วันที่สืบค้นข้อมูล  
         : 3 พฤศจิกายน 2556)
สุนทรี  สิงหบุตรา.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด.บริษัทคุณ 39.กรุงเทพฯ,2535.260.
สุนทรี  สิงหบุตรา.สรรพคุณของว่านหางจระเข้.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก : http://www.rspg.or.th  (วันที่
        สืบค้นข้อมูล : 2 พฤศจิกายน 2556)
เสถียรพงษ์  ยอดนิล.ข้อควรระวังของว่านหางจระเข้.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก : http://www.chaiwbi.com
         (วันที่สืบค้นข้อมูล : 7 พฤศจิกายน 2556)
อานนท์  เคลือทอง.วิธีการปลูกว่านหางจระเข้.[ออนไลน์].เข้าได้จาก : http://www.chaiwbi.com   (วันที่สืบ
        ค้นข้อมูล : 7 พฤศจิกายน 2556      

About this blog

Research & Knowledge Formation

Blog Archive