รู้เท่าทันไว้ห่างไกลโรคเอดส์
โรคเอดส์เป็นโรคที่พรากชีวิตมนุษย์ในโลกนี้ไปมากมาย ส่งผลต่อการสูญเสียอย่างน่าเสียดาย
นับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน โรคเอดส์เป็นโรคใหม่ที่รายงานครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ.
2524 และมีรายงานผู้ป่วยรายแรกในประเทศไทย
เมื่อปี พ.ศ. 2527 โรคนี้มีการระบาดในทวีปแอฟริกาก่อนที่จะแพร่กระจายไปยังทั่วโลก ถ้าหากผู้ใดได้รับเชื้อเอดส์แล้ว ผู้ติดเชื้อเอดส์จะต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการของโรคเอดส์ไปเรื่อยๆและในที่สุดก็เสียชีวิต
เพราะยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได เพราะฉะนั้นทุกคนก็รู้ว่ามหันตภัยของโรคเอดส์อันตรายแค่ไหนแต่เราทุกคนก็สามารถที่จะป้องกันภัยร้ายจากโรคเอดส์ดี
ดังสุภาษิตที่ว่า รู้ไว้ใช่ว่า
ใส่บ่าแบกหาม
สาเหตุของโรคเอดส์
เกิดจากเชื้อ เอชไอวี
ซึ่งเป็นไวรัสชนิดใหม่ มีการวิจัยและเพาะเลี้ยงแยกเชื้อได้ในปี พ.ศ. 2526 เชื้อนี้จะพบมากและมีมากในน้ำอสุจิ ในเลือด และน้ำเมือกในช่องคลอดของผู้ติดเชื้อ
จึงสามารถแพร่ได้โดย
1)
ทางเพศสัมพันธ์ ทั้งต่างเพสและเพสเดียวกัน (ในชายร่วมเพศ เกย์ )
2) ทางเลือด เช่น
การได้รับเลือดจากการถ่ายจากผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์โดยตรงหรือ แอบแฝง เช่น
การได้รับเลือดจากการปลูกถ่ายอวัยวะที่มีเชื้อ การปนเปื้อนผลิตภัณฑ์จากเลือด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เป็นต้น
ส่วนการใช้ของมีคม ( เช่น ใบมีดโกน ที่ตัดเล็บ ) ร่วมกับผู้ติดเชื้อ การสัก
การเจาะหู อาจมีโอกาสปนเปื้อนเลือดที่มีเชื้อได้ แต่จะมีโอกาสติดโรคได้นั้น ก็ต่อเมื่อมีแผลเปิด และปริมาณเลือด หรือน้ำเหลืองที่เข้าไปในร่างกายมีจำนวนมากพอ
3) การติดต่อจากมารดาที่มีเชื้อสู่ทารก ตั้งแต่ระยะอยู่ในครรภ์ ระยะคลอดและระยะเลี้ยงดูหลังคลอด โอกาสที่ทารกจะติดเชื้อจากมารดา ประมาณ
20-50%
จากการศึกษาวิจัยในประเทศต่างๆ เท่าที่ผ่านมาไม่พบว่ามีการติดต่อโดย
1)
การหายใจ ไอ
จามรดใส่กัน
2)
การกินอาหารและดื่มน้ำร่วมกัน
3)
การว่ายน้ำในสระหรือเล่นกีฬาร่วมกัน
4)
การอยู่ในห้องเรียน
ห้องทำงาน ยานพาหนะ หรือการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ
5)
การอยู่ในออ้อมกอด หรือสัมผัส
6)
การใช้ครัว ภาชนะ
เครื่องครัว จาน แก้ว
หรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน
7)
การถูกยุงหรือแมลงกัด
เชื้อเอชไอวีเมื่อได้รับเชื่อเข้าสู่ร่างกาย
จะมีการเพิ่มจำนวนสามารถแยกเชื้อไวรัสหรือตรวจพบ
แอนติบอดี้ได้หลังติดเชื้อ 3-12 สัปดาห์ ผู้ที่มีเลือดบวก ( มีแอนติบอดี้ ) 90% จะมีเชื้อเอชไอวีในกระแสเลือดซึ่งสามารถแพร่โรคให้ผู้อื่นได้ แม้ไม่มีอาการอะไรเลยก็ตาม
ดิฉันคิดว่าหากผู้ใดได้ศึกษาเกี่ยวกับสาเหตุของโรคเอดส์แล้วก็จะสามารถป้องกันตนเองจากการเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอดส์ได้
ลักษณะอาการของผู้ป่วยเอดส์
อาการของผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ในระยะเริ่มต้นส่วนใหญ่ยังไม่แสดงอาการอะไรออกไปให้เห็นแต่ในร่างกายของผู้ป่วยได้รับเชื้อแล้วก็จะสามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้อาการที่แสดงให้เห็นหลังจากนั้นไปอีกสักระยะ พอสังเกตได้ดังต่อไปนี้
1)
ต่อมน้ำเหลืองที่คอ รักแร้
แขน ขาหนีบ โตนานเกินกว่า
3
เดือน
2)
ไอเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ
3)
อุจจาระร่วงเรื้อรังเกิน 3 เดือน โดยไม่หายขาด
4)
ไอเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นๆ
หายๆ นานเกินกว่า 3 เดือน
5)
มีไข้สูงเกิน 37.8 องศาเซลเซียส หรือมีเหงื่อออกมากในตอนกลางคืนเรื้อรังเกิน 1 เดือน
6)
มีก้อนสีแดงปมม่วงแก่ ขึ้นตามตัวและโตขึ้นเรื่อยๆ
7)
แขนขา ข้างใดข้างหนึ่งไม่มีแรง หรือทำงานไม่ประสานกัน หรือมีอาการชักจากที่ไม่เคย
เป็นมาก่อน
8)
เป็นฝ้าขาวที่ลิ้นหรือในปาก นานเกินกว่า
3 เดือน
ทั้งนี้อาการดังกล่าวข้างต้น ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีอาการดังกล่าวทั้งหมดจะเป็นเอดส์ทุกราย
จนกว่าจะได้มีการตรวจหาแอนติบอดี้จากเลือดเป็นการยืนยันที่แน่นอน
ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีจะมีอาการเปลี่ยนแปลงของร่างกายแตกต่างกันไป สุดแล้วแต่จำนวนของเชื้อ
และระดับต้านทานของแต่ละคนซึ่งจะแตกต่างกันดังนั้นจึงสามารถแบ่งอาการของโรคนี้ได้ 4 ระยะ ด้วยกันดังนี้
1) ระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อเอชไอวี หรือระยะนี้นับตั้งแต่เริ่มติดเชื้อเอชไอวีจนกระทั่งร่างกายเริ่มสร้างแอนติบอดี้เป็นเวลาประมาณ
1-6 สัปดาห์หลังติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น
ติอมน้ำเหลืองโต
บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้
อาเจียน
ถ่ายเหลวหรอมีฝ้าขาวในช่องปากอาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่ 1-2
สัปดาห์
แล้วหายไปได้เอง
เนื่องจากอาการคล้ายกับไข้หวัด
ไข้หวัดใหญ่หรือไข้ทั่วๆไป
ผู้ป่วยอาจซื้อยารักษาเอง
หรือเมื่อไปพบแพทย์ก็อาจไม่ได้รับการตรวจเลือด จึงไม่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ในระยะนี้ ผู้ติดเชื้อประมาณ 30-50% อาจไม่มีอาการดังกล่าวก็ได้
2) ระยะติดเชื้อไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไปแต่การตรวจเลือดจะ
พบเชื้อเอชไอวี และแอนติบอดี้ต่อเชื้อชนิดนี้
และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้เรียกว่าเป็นพาหะ (
carrier ) ของโรค ระยะนี้มักเป็นอยู่นาน 5-10
ปี บางคนอาจนานกว่า 15 ปี
3) ระยะติดเชื้อที่มีอาการ ระยะนี้แต่ก่อนเรียกว่า ระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ มักจะมีอาการคล้ายโรคอื่นๆ จนไม่คิดว่าจะเป็นเอดส์ก็ได้
อาจพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ในระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 3
เดือน
3.1) มีไข้เกิน 37.8
องศาเซลเซียส
เป็นพักๆ หรือติดต่อกันทุกวัน
3.2) ท้องเดินเรื้อรังหรืออุจจาระร่วงเรื้อรัง
3.3) น้ำหนักลดลงเกิน 10%
ของน้ำหนักตัว
3.4) ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1
แห่งในบริเวณที่ไม่ติดต่อกัน
3.5) มีเชื้อในปาก
3.6) มีฝ้าขาวในช่องปากจากไวรัสเอปสไตน์บาร์ มักอยู่ที่ด้านของลิ้นมีลักษณะเป็นฝ้าคล้ายโรคเชื้อราแต่ขูดไม่ออก
3.7) โรคงูสวัด
4) ระยะป่วยเป็นเอดส์ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเสื่อมเต็มที่ไม่สามารถที่จะคุ้มกันร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมต่างๆได้แล้ว เป็นผลทำให้เชื้อโรคต่างๆ เช่น เชื้อรา
ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว
วัณโรค เป็นต้น ฉวยโอกาสเข้ารุมเร้า เรียกว่า
โรคติดเชื้อฉวยโอกาสซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่รักษาค่อนข้างยาก
และอาจติดเชื้อชนิดเดิมซ้ำอย่างเดียวหรือติดเชื้อชนิดใหม่ หรือหลายชนิดร่วมกัน ทำให้วัณโรคปอด ปอดอักเสบ
สมองอักเสบ
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร (เจ็บคอ กลืนลำบาก
ท้องเดิน) เป็นต้น
ผู้ป่วยเอดส์มีโอกาสเป็นมะเร็งบางชนิด เช่น
มะเร็งของหลอดเลือดที่เรียกว่า kaposisaroma (เห็นเป็นตุ๋ม
หรือผื่นสีม่วงที่ผิวหนังหรือเกิดที่ต่อมน้ำเหลืองภายในช่องปากหรืออวัยวะภายในก็ได้)
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
(lymphoma) ในสมมอง
เป็นต้น
นอกจากนี้ผู้ป่วยยังมีความผิดปกติของสมองที่เรียกว่า aids
dementia complex ( ADC ) ทำให้มีอาการทางจิตประสาท ความจำเสื่อม
หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิซึมศร้า คคลุ้มคลั่ง
เป็นต้น อาจมีอาการแขนขาชา อัมพาต
ชักกระตุกได้
ในระยะที่มีอาการหรือป่วยเป็นเอดส์แล้ว จะตรวจพบอาการผิดปกติต่างๆ เช่น
ไข้ ซูบ ผอม
ต่อมน้ำน้ำเหลืองโตหลายแห่ง ( บริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ ) ซีด
จุดแดง
จ้ำเขียวในช่องปากหรือพบอาการลิ้นหรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อราแคนดินา รอยฝ้าขาวข้างลิ้น แผลเริมเรื้อรัง แผลแอฟทัส
ปากเปื่อย ก้อนเนื้องอก ( มะเร็ง ) เป็นต้น บริเวณผิวหนังอาจพบวงผื่นของโรคเชื้อรา (กลากเกลื้อน ) ลุกลามเป็นบริเวณกว้างและเรื้อรัง
เริม งูสวัด แผลเรื้อรัง
ผุพอง ก้อนเนื้องอก หูดข้าวสุก
(จากไวรัส ) ผื่นสีม่วงแดง หรือตุ่มคล้ายหูดข้าวสุกกระจายทั่วไป จากเชื้อราเพนิซิลเลียมมาร์เนฟไป ผิวหนังแห้ง
คัน เป็นสเก็ดขาว เป็นตุ่มคัน
เป็นต้น
ในรายที่เป็นโรคติดเชื้อของสมอง
จะมีอาการซึม เพ้อ ชัก
หมดสติ
ถ้าเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะตรวจพบอาการคอเข็ง
การป้องกันและการปฏิบัติตน
การป้องกัน แม้ว่าโรคนี้จะมีอันตรายร้ายแรงและยังมีความยุ่งยากในการเยียวยารักษาแต่ก็เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ง่ายๆ ดังนี้
1) สำหรับประชาชนทั่วไป
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ที่มิใช่คู่ครอง ควรยึดมั่นต่อการมีเพสสัมพันธ์กับคู่ครอง (รักเดียวใจเดียว)
- ถ้ายังนิยมมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่น โดยเฉพาะหญิงบริการ
หรือบุคคลที่มีเพศสัมพันธ์เสรีหรือมีพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ก็ควรจะใช้ถุงยางอนามัยป้องกันทุกครั้ง
- หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าจนมึนเมา
เพราะอาจชักนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย (ประมาท
ไม่คิดป้องกันตัวเอง)
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็ม
หรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
-หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคม (เช่น ที่ตัดเล็บ
ใบมีดโกน) ร่วมกับผู้อื่น ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้
ก่อนใช้ควรทำลายเชื้อด้วยการแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น
แอลกอฮอล์ 70% โพวิโดนไอโอดีน 2.5% ทิงเจอร์ไอโอดีน ไลซอล 0.5-3 % โซเดียมไฮโพคลอไรด์ 0.1-0.5%
(หรือน้ำยาคลอรอกซ์) เป็นต้น นาน 10-20 นาที
- ก่อนแต่งงาน ควรปรึกษาเพทย์ในการตรวจเช็คโรคเอดส์ ถ้าพบว่าคนใดคนหนึ่งมีเลือดบวกควรพิจารณาหาทาป้องกันมิให้ติดต่อกับอีกคนหนึ่ง
- คู่สมรสที่มีบุคคลหนึ่งเป็นผู้ติดเชื้อ ควรคุมกเนิด
และป้องกันการแพร่เชื้อ
โดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
-
หญิงตั้งครรภ์ที่คิดว่าตัวเองหรือคู่สามีมีพฤติกรรมเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเลือดตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ใหม่ๆ ถ้าพบว่ามีการติดเชื้อ
แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัสเพื่อลดการติดเชื้อของทารกในครรภ์
- มาตรการในระยะยาว คือ
การรณรงค์ให้เกิดค่านิยมใหม่
และสร้างครอบครัวที่อบอุ่นเพื่อป้องกันมิให้มีพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น
การเที่ยวหญิงบริการ
การติดยาเสพติด
2) สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีความเสี่ยงการติดเชื้อเอชไอวี
จากการปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการรักษาผู้ป่วย ควรมีการประยุกต์ใช้มาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด เช่น
การสวมถุงมือ การใช้ผ้าปิดจมูก หรือหน้ากาก
การใส่เสื้อคลุม
หรือการใช้อุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ
เมื่อต้องปฏิบัติงานที่มีโอกาสสัมผัสถูกเลือด น้ำเหลือง
สารคัดหลั่ง
หรือสิ่งขับถ่ายของผู้ป่วยทุกคน (ไม่ว่าจะสงสัยว่าเป็นผู้ติดเชื้อหรือไม่ก็ตาม
ในกรณีที่ถูกเข็มที่ใช้กับผู้ป่วยแล้วตำ
ซึ่งเป็นอุบัติเหตุที่พบได้บ่อย
ควรรีบตรวจเลือดโดยเร็ว
แล้วตรวจซ้ำ ในระยะ 6 สัปดาห์
3 เดือน และ 6 เดือนติอมาแนะนำให้กินยาป้องกันโดยเร็วที่สุด โดยใช้ยาต้านไวรัส
โรคเดส์เป็นโรคที่ทำอันตรายถึงแก่ชีวิตกับคนมากมาย
เมื่อเรารู้ถึงความโหดร้ายของโรคเอดส์และเราก็ยังรู้อีกว่าโรคเอดส์เกิดจากสาเหตุอะไร เราก็สามารถป้องกันตนเองและหลีกเลี่ยงจากโรคนี้ได้ และเราก็ยังสามารถอยู่ร่วมในสังคมกับคนเป็นเอดส์ได้ และที่สำคัญเมื่อเรารู้สึกได้ถึงความรู้สึกของคนที่เป็นเอดส์เพราะทั้งสภาพร่างกายและจิตใจอ่อนแอมากๆ
เราก็จะสามารถที่จะดูแลพวกเขาเหล่านั้นได้ซึ่งได้ทั้งประโยชน์และได้ป้องกันตนเองและที่สำคัญก็ได้ดูแลผู้อื่นอีกด้วย แต่คนเราเมื่อเกิดมาก็ย่อม มีแก่
เจ็บ และตาย ในที่สุดความสุขของชีวิต ก็คือ การไม่มีโรค
เป็นลาภอันประเสริฐ
และเราสามารถห่างไกลจากโรคได้หากเรารู้เท่าทัน
อ้างอิง
กนกรัตน์
เนาวประทีบ.
(2537) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร
: เทพเนรมิตการพิมพ์
เชิดเกียรติ
แกล้วกสิกิจ. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโรคเอดส์ [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http : www.aids.org (
15 พฤศจิกายน 2556)
นิพนจ์
กาญจเนตร. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เอดส์ [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http : www.aids.org/ppt
( 15 พฤศจิกายน 2556)
นางสาว ชาติรส สุขวรรณ ม 5/1 เลขที่ 35
1 ความคิดเห็น:
ต้องป้องกันนะคะทุกคน โรคเอดส์ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดค่ะ หากใครมีความเสี่ยง ก็ควรต้องรีบไปตรวจเลือดค่ะ ของเพื่อนเราไปตรวจที่ V-med clinic ให้คำแนะนำดีมาก ค่าตรวจ ค่ายาอะไรก็ไม่แพงด้วยค่ะ โทรถามก่อนได้ที่เบอร์นี้เลยค่ะ 052-001119 www.vmedclinic.com
แสดงความคิดเห็น