รู้เท่าทัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
ทุกคนคงรู้ดีว่า คนที่ทำผิดก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมายไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครหากอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ยิ่งทำผิดมากโทษที่จะได้รับก็มากตามไปด้วย แต่ในตอนนี้ไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อคนทำผิดที่ฆ่าคนอย่างใจดำอำมหิต
อย่างกรณีที่ตากใบ คนคนนั้นไม่ได้ฆ่าด้วยตนเองแต่ฆ่าด้วยอำนาจ
ใครจะไปรู้ว่าขณะเกิดเหตุการณ์คนคนนั้นอยู่หากจากที่นั้นเพียง 1 กิโลเมตร จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้พี่น้องชาวมุสลิมต้องเป็นหม้ายเกือบครึ่งหมู่บ้าน
และอีกเหตุการณ์ที่แยกราชประสงค์กรณีชายชุดดำ ทุกคนคงจำได้ดีที่แอบซ่อนตามเสาไฟและพุ่มไม้
ได้ฆ่าทหาร ประชาชนอย่างเลือดเย็น
เห็นอย่างนี้แล้วจะยอมหรือที่คนคนนั้นจะได้รับการล้างผิดแบบง่ายๆ สามารถเดินกลับมาเหยียบผืนแผ่นดินไทย
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและยังมีคนบางกลุ่มที่เห็นด้วยกับการล้างผิดให้คนที่ทำผิดหรือเรียกว่า
พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าคนกลุ่มนั้นไม่รู้จัก
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมดีพอ ถ้าอย่างนั้นเรามารู้เท่าทัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมกันดีกว่า
ความหมายของนิรโทษกรรม (Amnesty)
ในทางกฎหมายแบ่งความหมายของนิรโทษกรรม( Amnesty) ไว้
2 แบบคือ
1. นิรโทษกรรม ตามกฎหมายแพ่ง หมายถึง การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
ซึ่งกฎหมายบัญญัติว่า ไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เช่น
การกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย การกระทำคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย
2. นิรโทษกรรม ตามกฎหมายอาญา หมายถึง
การลบล้างการกระทำความผิดอาญาที่บุคคลได้กระทำมาแล้ว โดยมีกฎหมายที่ออกมาภายหลังการกระทำผิดกำหนดให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิด
และให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิด
ซึ่งกล่าวได้ว่า
นิรโทษกรรม คือ การออกกฎหมายยกเลิกความผิดนั้นให้กับผู้ที่กระทำผิด ทำให้ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษ
เพราะถือว่าการกระทำนั้นไม่เป็นความผิด
ส่วนผู้ที่ได้รับโทษไปแล้วก็พ้นจากการเป็นผู้กระทำผิด
นอกจากนี้ทางการจะไม่สามารถรื้อคดีต่างๆ
ที่ได้รับการนิรโทษกรรมไปแล้วกลับมาสืบสวนหาความจริงได้อีก
เพราะกฎหมายนิรโทษกรรมจะทำให้การกระทำนั้นๆไม่ผิดโดยสมบูรณ์
ประเภทของกฎหมายนิรโทษกรรม
กฎหมายนิรโทษกรรม
แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. การนิรโทษกรรมเป็นการทั่วไป หรือการนิรโทษกรรมโดยเฉพาะเจาะจง
เช่น การนิรโทษกรรมให้แก่ผู้กระทำความผิดทางการเมือง (Political Offence) ทุกประเภท หรือให้เฉพาะแก่ผู้กระทำความผิดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษโดยกำหนดไว้ชัดเจน
2. การนิรโทษกรรมโดยมีเงื่อนไข
หรือโดยไม่มีเงื่อนไข หมายถึงว่า
การนิรโทษกรรมนั้นเป็นการนิรโทษกรรมที่เด็ดขาดหรือไม่ หากเป็นการนิรโทษกรรมเด็ดขาดไม่มีเงื่อนไข
ก็จะทำให้บุคคลนั้นไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดไปโดยปริยาย
แต่หากเป็นการนิรโทษกรรมที่มีเงื่อนไข ผู้ที่กระทำผิดจะต้องปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ให้เรียบร้อยก่อนจึงจะได้รับการนิรโทษกรรม
ทั้งนี้ผู้ที่มีอำนาจในการออกกฎหมายนิรโทษกรรม
คือรัฐสภา เพราะถือว่าเป็นการออกกฎหมายย้อนหลัง เพื่อให้คุณแก่ผู้กระทำความผิดและต้องตราขึ้นเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น
เว้นแต่กรณีเร่งด่วน รัฐบาลสามารถตราเป็นพระราชกำหนดนิรโทษกรรมขึ้นบังคับได้
โดยต้องผ่านความเห็นชอบของฝ่ายนิติบัญญัติในภายหลัง
ข้อดีและข้อเสียของการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
ข้อดี
คือ การให้อภัยซึ่งกันและกัน เป็นการเปิดทางเพื่อสร้างความสมานฉันท์ให้บ้านเมือง เช่น
หลังสิ้นสุดสงคราม ทางการอาจประกาศนิรโทษกรรมให้พลเมืองที่ร่วมกันก่อกบฏ เพื่อให้คนที่ยังหลบหนีปรากฏตัว
และเป็นการกระตุ้นให้เกิดความปรองดองกันระหว่างผู้ละเมิดกับสังคม
ซึ่งผู้ที่พ้นความผิดไปแล้วอาจเรียกสิทธิบางอย่างที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้ เช่น
สิทธิการเลือกตั้ง สิทธิที่จะเข้ารับราชการ
ข้อเสีย
คือ อาจเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีให้แก่สังคม เพราะอาจทำให้คนที่มีอำนาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย
หากทำอะไรผิดกฎหมายไปก็สามารถมาออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กลุ่มของตัวเองภายหลังได้
ซึ่งนั้นเท่ากับว่าคนที่มีอำนาจสามารถทำความผิดได้โดยไม่เกรงฟ้าอายดิน
แต่ประชาชนธรรมดาทั่วไปกว่าจะได้สิทธิ์นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
กฎหมายนิรโทษกรรมในอดีต
1.
พ.ร.ก.นิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พ.ศ. 2475 ประกาศโดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อให้การกระทำทั้งหลายของคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ไม่ให้เป็นการละเมิดบทกฎหมาย
2.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในการจัดการให้คณะรัฐมนตรีลาออก
เพื่อให้มีการเปิดสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476 ออกโดย พระยาพหลพลพยุหเสนา
หลังทำการรัฐประหารรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา
3.
พ.ร.ก.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดฐานกบฏและจลาจล พ.ศ. 2488 ออกโดย นายควง อภัยวงศ์
เพื่อยกโทษให้กระทำความผิดฐานกบฏและจลาจล
4.
พ.ร.บ.อนุมัติ พ.ร.ก.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดฐานกบฏและจลาจล พ.ศ. 2488 ออกโดย นายควง อภัยวงศ์
เพื่อปลดปล่อยนักโทษทางการเมืองให้เป็นอิสระ
5.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการต่อต้านการดำเนินการสงครามของญี่ปุ่น พ.ศ. 2489 ออกโดย นายปรีดี พนมยงค์ เพื่อยกโทษให้ผู้ที่ต่อต้านญี่ปุ่น
ในช่วงที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามายังประเทศไทย สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
6.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ออกโดย นายควง อภัยวงศ์
เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ที่ทำการรัฐประหารรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
7.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ที่ได้นำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 กลับมาใช้
พ.ศ. 2494 ออกโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในครั้งที่ทำการรัฐประหารยึดอำนาจตัวเอง
พ.ศ. 2494 ออกโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในครั้งที่ทำการรัฐประหารยึดอำนาจตัวเอง
8.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ. 2499 ออกโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม
เพื่อยกโทษความผิดฐานกบฏจลาจล เนื่องในโอกาสที่พระพุทธศาสนาได้ยั่งยืนมาครบ 25
ศตวรรษ
9.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการยึดอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินเมื่อวันที่ 16
กันยายน
พ.ศ. 2500 ออกโดย นายพจน์ สารสิน เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ที่รัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยระบุด้วยว่า สาเหตุของการทำรัฐประหาร เนื่องจากรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการใช้อำนาจอันไม่เป็นธรรม ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและหวาดกลัว
พ.ศ. 2500 ออกโดย นายพจน์ สารสิน เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ที่รัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยระบุด้วยว่า สาเหตุของการทำรัฐประหาร เนื่องจากรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการใช้อำนาจอันไม่เป็นธรรม ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและหวาดกลัว
10.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการปฏิวัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ออกโดย
จอมพลถนอม กิตติขจร หลังจาก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกาศยึดอำนาจ โดยระบุว่าเป็นการรัฐประหารเพื่อกำจัดภัยคอมมิวนิสต์ที่อาจเข้ามายึดครองประเทศไทย
จอมพลถนอม กิตติขจร หลังจาก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกาศยึดอำนาจ โดยระบุว่าเป็นการรัฐประหารเพื่อกำจัดภัยคอมมิวนิสต์ที่อาจเข้ามายึดครองประเทศไทย
11.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2502 ออกโดย
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ. 2499
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ. 2499
12.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการปฏิวัติ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 ออกโดย
จอมพลถนอม กิตติขจร เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ที่ร่วมทำการปฏิวัติ โดยครั้งนี้เป็นการปฏิวัติตัวเอง เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตรายต่อชาติ และกำหนดกลไกการปกครองที่เหมาะสมเสียใหม่
จอมพลถนอม กิตติขจร เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ที่ร่วมทำการปฏิวัติ โดยครั้งนี้เป็นการปฏิวัติตัวเอง เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตรายต่อชาติ และกำหนดกลไกการปกครองที่เหมาะสมเสียใหม่
13.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน
ซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับการเดินขบวนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ออกโดย นายสัญญา ธรรมศักดิ์
เพื่อนิรโทษกรรมให้นิสิตนักศึกษาที่เดินขบวนเรียกร้องในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
14.
พ.ร.บ.ยกเลิกคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติที่ 36/2515 ลงวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.
2515 ออกโดย นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อนิรโทษกรรมให้ นายอุทัย พิมพ์ใจชน นายอนันต์ ภักดิ์ประไพ และนายบุญเกิด หิรัญคำ
15.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.
2519 ออกโดย นายธานินทร์ กรัยวิเชียร
เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ที่ทำการรัฐประหารในครั้งนั้น ซึ่งนำโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
16.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการอันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร
ระหว่างวันที่ 25 และ 26 มีนาคม พ.ศ. 2520 ออกโดย พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
เพื่อยกโทษให้ผู้ที่พยายามก่อรัฐประหารรัฐบาลของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร แต่ไม่สำเร็จ
17.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม
พ.ศ. 2520 ออกโดย พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เพื่อนิรโทษกรรมให้การรัฐประหารตัวเอง
18.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่
4 - 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ออกโดย
พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
19.
พ.ร.ก.นิรโทษกรรมแก่ผู้ก่อความไม่สงบเพื่อยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน ระหว่างวันที่
31 มีนาคม ถึงวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2524 ออกโดย
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
เพื่อนิรโทษกรรมให้กลุ่มยังเติร์กที่พยายามก่อรัฐประหารรัฐบาลพลเอกเปรม
แต่ไม่สำเร็จ
20.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ก่อความไม่สงบ เพื่อยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน ระหว่างวันที่
8 และวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 ออกโดย
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
เพื่อนิรโทษกรรมให้กลุ่มกบฏ 9 กันยา ที่พยายามรัฐประหารรัฐบาลพลเอกชาติชาย
21.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการอันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร
ตามประมวลกฎหมายอาญาและความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
พ.ศ. 2532 ออกโดย พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ที่ได้กระทำความผิดตามกฎหมายปราบปรามคอมมิวนิสต์
22.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 23
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ออกโดย นายอานันท์ ปันยารชุน เพื่อยกโทษให้คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ
(รสช.) ที่กระทำการรัฐประหารรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
23.
พ.ร.ก.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกันระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม
พ.ศ. 2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535
ออกโดย พลเอกสุจินดา คราประยูร เพื่อยกโทษบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การชุมนุมพฤษภาทมิฬทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นตัวการ ผู้สนับสนุน ทหารที่ปราบปรามประชาชน รวมทั้งผู้ชุมนุม
รายละเอียดพ.ร.บ.นิรโทษกรรมปี 2556
สำหรับ
พ.ร.บ. ฉบับนี้มีทั้งหมด 7 มาตรา โดยมีสาระสำคัญอยู่ที่มาตราที่ 3 และ 4
ซึ่งว่าด้วยการละเว้นโทษให้ผู้ที่ชุมนุมทางการเมืองหรือแสดงออกทางการเมือง
ที่ได้กระทำการใดๆ อันเป็นผลกระทบต่อร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สิน
และสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคล ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 - 10 พฤษภาคม
2554 ไม่เป็นความผิดต่อไป และให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการกระทำผิดโดยสิ้นเชิง
ถึงแม้จะอยู่ระหว่างการต้องคำพิพากษาหรือการรับโทษก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลงทั้งหมด
โดยมีรายละเอียดทั้งหมดดังนี้ หลักการ
ให้มีกฎหมายว่าด้วยนิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง
การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ระหว่างวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 10
พฤษภาคม พ.ศ. 2554
เหตุผล
เนื่องจากสังคมไทยที่ผ่านมาอยู่ในสภาวะที่สร้างความแตกแยกทางความคิด
มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายให้แก่ชาติบ้านเมืองจนปัจจุบัน ด้วยสืบเนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองตกอยู่ในความคิดที่ไม่เคารพในระบอบประชาธิปไตย
มีการชุมนุมประท้วงรัฐบาลจนนำไปสู้การยึดอำนาจการปกครอง เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549
เหตุการณ์นี้สร้างความขัดแย้งทางการเมืองและทางสังคมที่รุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนทำให้เกิดการใช้บังคับกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมสร้างความรู้สึกสับสนและไม่เท่าเทียม
การเลือกปฏิบัติเกิดขึ้นในทางความคิดทางการเมืองของประชาชนเป็นวงกว้าง จึงมีการชุมนุมประท้วงทางการเมืองของประชาชนจนเกิดการกระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองอันนำไปสู่การกล่าวหาและมีการดำเนินคดีกับผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมจำนวนมากทำให้ถูกจำกัดเสรีภาพและอิสรภาพในระหว่างการถูกกล่าวหาทางอาญา
อันเป็นผลมาจากภาครัฐได้ประกาศและบังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัดและขาดความยืดหยุ่นจนเกินความจำเป็น
ซึ่งสภาพปัญหาดังกล่าวได้เกิดเป็นปัญหาร้าวลึกลงไปสู่สังคมไทยในทุกระดับและนำมาซึ่งความหวั่นไหวขาดความเชื่อมั่นในการดำเนินชีวิตให้เป็นปกติสุขของประชาชนทั่วไป
ปรากฏการณ์ดังกล่าวสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศชาติทั้งทางด้านความมั่นคง
การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมไทย
ทั้งนี้เมื่อได้คำนึงว่าการกระทำต่าง ๆ ของประชาชนที่ได้กระทำไปเพื่อแสดงออกซึ่งความคิดทางการเมืองของประชาชน
ซึ่งมีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความขัดแย้งในทางการเมืองอันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานทางการเมืองของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
จึงสมควรให้มีการนิรโทษกรรมแก่ประชาชนในกรณีดังกล่าว
เพื่อเป็นการให้โอกาสแก่ประชาชนซึ่งเป็นพลเมืองของประเทศและเป็นการรักษาคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทั้งเพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมืองตามระบอบประชาธิปไตยโดยใช้หลักนิติธรรม
อันจะเป็นรากฐานที่ดีต่อการลดความขัดแย้งและสร้างความปรองดองของคนในชาติ
โดยต้องคำนึงถึงมูลเหตุจูงใจของการกระทำที่ประชาชนได้แสดงออกทางการเมือง เพื่อจะทำให้สังคมไทยและประเทศชาติกลับมาสู่ความสงบสุขเรียบร้อยมีความสมัครสมานสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคงและเข้มแข็งอย่างยั่งยืนต่อไป
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง
การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน
มาตรา 2
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้บรรดาการกระทำใดๆ
ของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง
หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง
แต่กระทำการนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง
โดยการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใด เพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ
การป้องกันตน การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการชุมนุม
การประท้วงหรือการแสดงออกด้วยวิธีการใดๆ อันอาจเป็นการกระทบต่อชีวิต ร่างกาย
อนามัย ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง
หรือการแสดงออกทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 10
พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ไม่เป็นความผิดต่อไปและให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
การกระทำในวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำใด ๆ
ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจ
หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว
มาตรา 4
เมื่อพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับแล้ว ถ้าผู้กระทำการตามมาตรา 3
วรรคหนึ่งยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาลหรืออยู่ในระหว่างการสอบสวน ให้พนักงานสอบสวนผู้ซึ่งมีอำนาจสอบสวน
หรือพนักงานอัยการระงับการสอบสวนหรือการฟ้องร้อง
หากถูกฟ้องต่อศาลแล้วให้พนักงานอัยการ
หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องระงับการฟ้องหรือให้ถอนฟ้อง
ถ้าผู้นั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีไม่ว่าจำเลยร้องขอหรือศาลเห็นเอง
ให้ศาลพิพากษายกฟ้องหรือมีคำสั่งจำหน่ายคดี
ในกรณีที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษบุคคลใดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ
ให้ถือว่าบุคคลนั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิด
ถ้าผู้นั้นอยู่ระหว่างการรับโทษให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลงและปล่อยตัวผู้นั้น
มาตรา 5 การนิรโทษกรรมตามพระราชบัญญัตินี้
ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ได้รับนิรโทษกรรมในอันที่จะเรียกร้องสิทธิ
หรือประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น
มาตรา 6 การดำเนินการใด ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้
ไม่เป็นการตัดสิทธิของบุคคลซึ่งไม่ใช่องค์กรหรือหน่วยงานของรัฐในการเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่ง
จากการกระทำของบุคคลใดซึ่งพ้นจากความรับผิดตามพระราชบัญญัตินี้
และทำให้ตนต้องได้รับความเสียหาย
มาตรา 7
ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ข้อเปรียบเทียบการนิรโทษกรรมในอดีตและปัจจุบัน
จากการที่ผู้เขียนได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมมาแล้ว
จะเห็นได้ว่าการนิรโทษกรรมนั้นไม่ได้เพิ่งมี
แต่มีมาตั้งแต่เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
ซึ่งการนิรโทษกรรมแต่ละครั้งนั้นก็ล้วนแล้วแต่นิรโทษกรรมให้ผู้ที่มีความผิดเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นการก่อกบฏหรือการรัฐประหาร บุคคลที่ได้รับการนิรโทษกรรมเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นนักโทษทางการเมืองที่ปฏิรูปการปกครองของประเทศให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นและนำไปสู่การพัฒนาประเทศ
ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าแตกต่างจากการนิรโทษกรรมในปัจจุบัน คือ พ.ศ. 2556 ที่บอกว่าสร้างความปรองดอง เพื่อให้เกิดความสามัคคีและสมานฉันท์ให้คนในประเทศ
แต่แท้ที่จริงแล้วมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง มีคนเคยบอกกับผู้เขียนว่า
ถ้านิรโทษกรรมแล้วทำให้หนี้สินทั้งหมดของคนในประเทศเป็นศูนย์ก็จะยอมได้ แต่นี่ไม่ใช่เพราะพวกเขานิรโทษกรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนไม่ได้ทำเพื่อประเทศชาติ
ที่สำคัญรัฐบาลได้ออกมาให้ข่าวว่า ประชาชนบิดเบือนความจริงจากกฎหมายเดิมที่มีอยู่และกล่าวหาประชาชน
นิสิต นักศึกษาที่มาทำการประท้วงคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมว่าโดนหลอกลวงมาบ้าง
โดนจ้างให้มาประท้วงบ้าง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาโดนหลอกมา
ที่พวกเขามาประท้วงก็เพราะว่า ถ้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมปี 2556 มีผลบังคับใช้เมื่อไรจะต้องส่งผลเสียต่อประเทศชาติแน่นอน
คนที่มาประท้วงนับวันก็ยิ่งมากขึ้น
เมื่อรัฐบาลเห็นมวลมหาประชาชนมาเยอะขนาดนี้แทนที่รัฐบาลจะถอน
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนี้ออก แต่รัฐบาลก็แค่พักไว้ ที่สำคัญพักไว้ 6 ฉบับ
ซึ่งจากการที่ผู้เขียนฟังนักการเมืองคนหนึ่งพูดทั้ง 6
ฉบับที่พักไว้ก็เปรียบได้แค่ขยะ 6 ถุงและไม่มีความสำคัญอะไรเลย จะทิ้งเมื่อไรก็ได้
ฉบับที่สำคัญจริงๆ คือฉบับที่ 7
ที่รัฐบาลทำอย่างนี้ก็เพราะว่าต้องการหลอกให้ประชาชนตายใจจะได้เลิกประท้วง
แต่ประชาชนใช่ว่าจะให้หลอกได้ง่ายๆ เพราะถึงแม้จะพักไว้ทั้ง 7 ฉบับ หากประชาชนเลิกประท้วงเมื่อใด
อีก 180 วัน รัฐบาลก็จะต้องยก พ.ร.บ.ชุดนี้มาอีกแน่นอน
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ประชนยังปักหลักประท้วงอยู่ที่ถนนราชดำเนิน
ถนนแห่งประวัติศาสตร์ทางการเมืองแห่งนี้
ผลกระทบที่เกิดขึ้น ถ้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมปี
2556 มีผลบังคับใช้
เราก็ได้รู้มาแล้วว่า
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมปี 2556
มีผลบังคับใช้เมื่อไหรก็จะเกิดผลเสียแน่นอน ถ้า พ.ร.บ.
ฉบับนี้สร้างขึ้นมาเพื่อความปรองดองจริง ทำไมต้องไปลงความเห็นกันตี 4
ซึ่งเป็นเวลาที่ประชาชนกำลังหลับสบาย ทำแบบนี้ถือว่าไม่โปร่งใส
ทำให้เกิดผลกระทบหลายด้าน ดังนี้
1. ด้านจิตใจของประชาชน
ประชาชนรู้สึกอย่างไรเมื่อคนที่ทำผิดจะได้รับการล้างผิด
แทนที่จะนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมาย
ถ้าคนทำผิดเป็นผู้มีอำนาจแล้วได้รับการล้างผิดก็จะทำให้คนชั่วไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย
บ้านเมืองจะสับสนวุ่นวาย และถ้ารัฐบาลคิดที่จะล้างผิดให้ผู้ที่กระทำผิดก็ต้องทั้งประเทศไม่ใช่แค่เฉพาะกลุ่ม
ถึงจะเรียกสร้างความปรองดองอย่างแท้จริง
2. ด้านการศึกษา
จะเป็นปัญหาหนักสำหรับผู้ที่เรียนนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์
เพราะคณะที่อาจารย์สอนด้านนี้บอกว่าไม่รู้จะสั่งสอนลูกศิษย์อย่างไร
เรียนกฎหมายไปก็ไร้ประโยชน์เมื่อมีคนทำผิดกลับโดนล้างผิด
3.
ด้านการตัดสินคดีความและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เราก็รู้มาแล้วว่าคนที่ได้รับการนิรโทษกรรมนั้นก็เปรียบเสมอนกับว่าคนคนนั้นไม่เคยทำความผิดมาก่อนและไม่ได้รื้อฟื้นคดีต่างๆ
ขึ้นมาสอบสวนคดีใหม่ได้
4. ด้านศีลธรรม หากทุกคนที่ทำผิดแล้วได้รับการล้างโทษ
คำว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็จะไม่มีความหมายอีกต่อไป
คนชั่วก็จะครองเมืองศีลธรรมก็ไม่อาจช่วยได้ ประเทศชาติก็จะนำไปสู่ความหายนะ
เราก็ได้รู้กันมาแล้วสำหรับ
พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่ง พ.ร.บ.นี้มีมาตั้งแต่อดีต พ.ศ. 2475 เพื่อนิรโทษกรรมให้กับนักโทษทางการเมือง
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนั้นใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์
แต่เป็นประโยชน์มากกว่าถ้าใช้ให้ถูกทาง
ไม่ใช้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน ถ้านิรโทษกรรมและประเทศชาติบ้านเมืองดีขึ้น
เศรษฐกิจของประเทศขยายตัว คงไม่มีใครชัดแน่นอน แต่ถ้านิรโทษกรรมแล้วบ้านเมืองแย่ลง
ก็คงต้องเนรเทศต่อไป
อ้างอิง http://teen.mthai.com/variety/64536.html
นางสาวอริศราวรรณ ม่วงขาว เลขที่ 42 ม.5/1
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น