ในยุคปัจจุบันพื้นฐานการใช้ชีวิต คือ ความรู้
การมีสติปัญญา เพื่อการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมและมีความสุข เมื่อมีความรู้แล้วก็ต้องรู้จักปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพทางความคิดอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถฝึกทักษะกระบวนการทางความคิดได้โดยอาจจะเริ่มจากพฤติกรรมรอบตัวเรา
เช่น การกิน การอ่านหนังสือ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมีความสัมพันธ์กัน
หากเรารู้จักปรับตัวคิดสร้างสิ่งดี ๆ
ให้แก่ชีวิตโดยการฝึกฝนตนเองอยู่เสมอโดยไม่จำเป็นต้องมีติวเตอร์ ซึ่งผู้เขียนเองก็เชื่อว่าใคร
ๆ ก็ปรารถนาที่จะเรียนเก่งแต่ก็มีหลายคนที่ใช้ความเก่งไม่เป็น
นั่นก็คือการลดคุณค่าของตนเอง โดยการที่จะใช้ความเก่งให้เป็นความเก่งจริง เก่งดี
มีประโยชน์ ต้องวิเคราะห์ความหมายลักษณะของความเก่ง
ในลักษณะการเปรียบเทียบระหว่างเรียนเก่งกับเก่งเรียน มีความสามารถเฉพาะตัวในตัวเอง
มีสมองดี จำแม่น ทักษะการเรียนรู้เมื่อเรียนจะเข้าใจง่าย ขยันขันแข็ง
จึงผลการเรียนดีมาตลอด
พฤติกรรมรอบตัวมีผลต่อการเรียน
บางครั้งอาจจะทำให้เราเก่งขึ้นหรือแย่ลง อาจจะดูได้จากการรับประทานอาหารเช้าและการพักผ่อน
จึงขอแนะนำเคล็ดลับการเสริมสร้างการเรียนจากพฤติกรรม ดังนี้
1.อาหารเช้ากับสมอง
ผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์ พบว่า
การรับประทานเช้าสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจ
เพราะในตอนเช้าเลือดของคนเรามีความเข้มข้นสูงและทำให้ส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมองหรือหัวใจอุดตันได้
ถ้ารับประทานอาหารเช้าเข้าไป จะทำให้ระดับความเข้มข้นในเลือดจางลง
ซึ่งอาหารที่ควรรับประทานในตอนเช้าที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ จึงขอแนะนำ
1.1 ซีเรียลหรือคอร์นเฟลก
ให้พลังงานและมีไขมันต่ำ จได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน
1.2 ปลา
เป็นสารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3
มีผลต่อประสิทธิภาพของสมองโดยตรงแถมยังเป็นเนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมัน
จึงทำให้ไม่อ้วน
1.3 ไข่
มีสารอาหารหลากหลาย มีทั้งโปรตีน วิตามิน 12
และสังกะสีแถมยังช่วยเสริมสร้างความจำ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของสมอง
จึงดีต่อสุขภาพ แต่ไม่ควรทานไข่แดงมากเกินไป
จะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลสูงขึ้นได้ง่าย ๆ
1.4 ผัก ผลไม้ ประกอบด้วยแร่ธาตุ วิตามิน และเส้นใยปริมาณมาก
แต่ไม่ควรเป็นผลไม้ที่หวานเกินไป
เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดมากเกินไปจะทำให้สมองซึม คิดอะไรไม่ออก
1.5 ข้าว
มีคุณสมบัติช่วยให้ระบบย่อยอาหารของร่างกายทำงานเป็นปกติ
การรับประทานอาหารเช้ามีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียน
ทำให้ระบบความจำ ทักษะการเรียนรู้และอารมณ์ดีขึ้น
แต่หากไม่ทานอาหารเช้าจะมีสมาธิน้อยลง
สมองไม่สามารถทำงานได้เต็มที่และส่งผลต่อสติปัญญา ทำให้ขาดสติ ส่งผลเสียในระยะยาว
2. นอนหลับให้เพียงพอ จะเรียนเก่งขึ้น การนอนหลับที่เพียงพอ
จะช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น เพราะสมองได้พักผ่อนและเตรียมพร้อมในวันต่อไป
ซึ่งการนอนหลับจะช่วยให้เราเรียนดีขึ้น ดังนี้
2.1 การนอนช่วยให้ระบบความจำสมบูรณ์ขึ้น
การนอนหลับสนิทมีประโยชน์ในการเพิ่มหน่วยความจำ เพราะระหว่างที่เรานอนหลับสนิท
ระบบจะจัดเก็บความทรงจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.2 การนอนหลับช่วยกำจัดความเครียด
โดยปกติเราควรนอนให้ได้วันละ 7 – 8 ชั่วโมง
หากนอนไม่เพียงพออาจทำให้หงุดหงิด กังวล และเกิดความเครียดได้ง่าย
ดังนั้นเราควรหลับให้เพียงพอ
เพราะการนอนหลับช่วยลกระดับความเครียดและควบคุมความดันโลหิตได้ง่าย
2.3 การนอนหลับทำให้การตัดสินใจดีขึ้น
การที่นอนน้อยจะส่งผลให้สมองตื่นตัวน้อย ทำให้การตัดสินใจผิดพลาด
และมีโอกาสเสี่ยงกว่าปกติ เพราะขาดความยับยั้งชั่งใจ
2.4 การนอนทำให้ไม่อ้วน
สุขภาพจะมีผลต่อการเรียน
ซึ่งร่างกายของคนเรามีฮอร์โมนที่ควบคุมความรู้สึกอยากอาหารอยู่ 2 ตัว มีฮอร์โมนที่กระตุ้นความหิว และฮอร์โมนที่เพิ่มอัตราการเผาผลาญ
คนที่นอนน้อยจะรู้สึกหิวบ่อย และจะกินเยอะ
10 เทคนิคช่วยคุณได้
การป้องกันมิให้เกิดปัญหาในระหว่างเรียนเป็นสถานการณ์ที่ต้องใช้วิธีการเรียนรู้และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
ถือได้ว่าเป็นเทคนิคทางจิตวิทยาที่ต้องเรียนรู้อย่างเข้าใจ ซึ่งสามารถปฏิบัติและแก้ไขได้ด้วยตนเอง
มาดูเทคนิคที่ช่วยให้ผู้อ่านสามารถเรียนเก่งขึ้นได้ โดยวิธีง่าย ๆ ดังนี้
1.คนเรียนเก่งแบ่งเวลาเป็น
รู้จักการแบ่งเวลาว่าตอนไหนควรทำหรือไม่ควรทำอะไร หากทำได้จะได้ผลอย่างชะงัก
2.การทำการบ้านและวิธีทบทวนบทเรียน สำหรับหัวใจของเรื่องนี้ คือ “อย่าผัดวันประกันพรุ่ง”
เมื่อมีเวลาว่างหรือเมื่อถึงเวลาควรรีบทำทันที
หลักที่ควรยึดถือในการทำการบ้าน
มีดังนี้
2.1
จัดเวลาทำการบ้านให้เหมาะสม และต้องทำอย่างสม่ำเสมอ
2.2 ตรวจดูความยากง่ายอย่างคร่าว
ๆ เสียก่อน หากมีข้อสงสัยควรถามครู
2.3 รีบทำการบ้าน
อย่าปล่อยให้เป็นดินพอกหางหมู
2.4 ตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งครู
การทบทวนบทเรียน
เป็นการเสริมความเข้าใจ และเป็นการช่วยให้จำแม่นยิ่งขึ้น
โดยอาจจะแบ่งเวลาทบทวนหลังจากทำการบ้าน และควรมีโน้ตย่อใจความสำคัญ
ซึ่งจะทำให้จำได้แม่นยำกว่าการอ่านเพียงอย่างเดียว
3.วิธีแก้การเบื่อเรียน
ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนย่อมจะประสบปัญหากับการเบื่อเรียนกันทั้งสิ้น
ซึ่งเกิดจากสาเหตุที่ต่าง ๆ กัน
การเบื่อเรียนถือเป็นอุปสรรคต่อการเรียนเป็นอย่างมาก จึงจำเป็นจะต้องแก้ไขผู้เรียนต้องพยายามหาสาเหตุของการเบื่อเรียน
และหาวิธีแก้ไข ก็จะทำให้เกิดความอยากเรียนมากขึ้น
ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเรียนอย่างยิ่ง
4. คนเรียนเก่ง
ลงมือทำโจทย์ หลายคนมองข้ามการทำโจทย์และแบบฝึกหัดต่าง ๆ ไปโดยสิ้นเชิง
แล้วกลับไปให้ความสำคัญกับเนื้อหา อยากเรียนกันก็ต้องหมั่นทำโจทย์อย่างสม่ำเสมอ
5. คนเรียนเก่ง
ติวเป็นกลุ่มกับเพื่อน ผลัดกันถามผลัดกันตอบ
การอ่านคนเดียวบางครั้งเราก็มองข้ามความสำคัญบางเรื่องไป
การจับกลุ่มติวกับเพื่อนก่อนสอบ จะทำให้เราได้ในส่วนที่เรามองข้ามไป บางครั้งการจับกลุ่มถามตอบก่อนเข้าห้องสอบเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็จะทำให้เราจำอะไรได้มากเลยทีเดียว
6. การดูหนังสือเตรียมสอบไล่
ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อการเรียนเป็นอย่างมาก เพราะหากจัดระบบการดูหนังสือดี
ก็จะส่งผลให้คะแนนของการสอบไล่ดีไปด้วย ซึ่งผู้เรียนจำนวนมากจะประสบปัญหาเกี่ยวกับวันเริ่มต้นที่จะดูหนังสือเตรียมสอบไล่
ไม่รู้ว่าจะเริ่มวันไหนหรือวิชาไหนก่อน ซึ่งมักจะมีปัญหาดูหนังสือไม่ทัน
ถึงแม้ว่าจะไม่มีตารางสอบก็สามารถดูหนังสือไว้ล่วงหน้าได้
เพราะจะช่วยให้คะแนนรายจุดดีไปด้วย และถือว่าเป็นการทบทวนบทเรียนไปในตัว
7. คนเก่งทำมายแม็บ
เรียนรู้จากภาพใหญ่ไปภาพเล็ก หากเรามองเนื้อหาความสัมพันธ์ของเนื้อหาทั้งหมดโดยรวม
ว่าเกี่ยวข้องกับอะไร และมีหัวข้ออะไรบ้าง แต่ละหัวข้อเกี่ยวข้องกันอย่างไร
การทำมายแม็บช่วยได้มากเลยทีเดียว สามารถทำได้ง่ายและช่วยให้จำได้แม่นยำขึ้น
8. มั่นใจในตัวเอง
อย่าคิดว่าตัวเองไม่เก่งเรียนยังไงก็ไม่ได้ เป็นข้อห้ามที่สำคัญมาก ๆ
ห้ามคิดว่าตัวเองไม่เก่งแล้วไม่สามารถทำได้เด็ดขาด เด็กไม่เก่งก็มีวิธีเรียนดี
แต่ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด
9. เข้าห้องสมุดกับการเรียน
การเรียนการสอนในสมัยนี้ ไม่ใช่เพียงแค่รู้หรือเข้าใจในแบบเรียนเท่านั้น
จำเป็นที่จะต้องรู้นอกเหนือจากหนังสือ
การที่มีความรู้มากกว่าหรือนอกเหนือจากความรู้ในหนังสือหรือตำราย่อมได้เปรียบในการสอบแข่งขัน
ห้องสมุดนับเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ใกล้ตัวมากที่สุด
มีตำรามากที่สุดเท่าที่ผู้เรียนจะหาอ่านได้ และไม่ต้องเสียเงินอีกด้วย และที่สำคัญเป็นการฝึกการรู้จักใช้ห้องสมุด
ซึ่งการเข้าห้องสมุดทุกครั้งต้องมีเป้าหมาย
และต้องฝึกฝนตนให้มีนิสัยรักการอ่านจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง
10. คนเรียนเก่ง
ดูแลตนเอง กินให้พอ นอนให้พอ ร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง
กินอิ่มนอนหลับจะส่งผลให้สมองปลอดโปร่ง สามารถรับรู้และจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดี
จดโน้ต ได้ผลจริง
การจดโน้ตย่อที่ดีเวลาเรียน
จะช่วยให้เรามีความจำที่แม่นขึ้น และยังมีผลต่อการสอบ
แต่ว่าสไตล์การจดของแต่ละคนก็ต่างกันออกไป บางคนก็จดทุกอย่างเท่าที่จำได้
บางคนก็จดทุกอย่างเท่าที่จำได้ บางคนก็วาดเป็นภาพอธิบายเรื่องราว
ในการจดโน้ตเพื่อให้ผู้เรียนสามารถจดจำในสิ่งที่จดมาได้อย่างแม่นยำขึ้นนั้น
สามารถทำได้ 4 ขั้นตอน คือ
ขั้นแรก เห็นเป็นจด
เวลาเรียนในห้องให้จดในสิ่งที่อาจารย์เขียนบนกระดาน แต่ถ้าอาจารย์ฉายสไลด์
ฉายโปรเจ็คเตอร์ ก็จดตามอย่าได้ขาด โดยเฉพาะที่อาจารย์เน้นอาจจะขีดส้นใต้ไว้
ห้ามพลาดต้องจดอย่างทันที เพราะอาจจะเจอในข้อสอบได้
ขั้นที่สอง ฟังการส่ง “ซิก” ระหว่างที่เรียนไป อย่าลืมฟัง “ซิก” จากอาจารย์บางทีอาจเป็นการส่งสัญญาณทางอ้อม
เพราะอาจจะออกสอบได้
ขั้นที่สาม จดแบบชวเลข
เป็นการจดข้อความด้วยสัญลักษณ์ ทำให้มีความรวดเร็วและค่อนข้างแม่นยำ
แต่สิ่งสำคัญห้ามลืมว่าตัวที่ย่อนั้นหมายถึงอะไร
ขั้นที่สี่ อ่านทบทวน
อย่าลืมว่าหลังจบชั่วโมงเรียน
ต้องเอาโน้ตมาอ่านทบทวนอีกครั้งทำให้เราจดจำได้มากถึง 80 %
วิธีช่วยจำ
ทุกคนก็ย่อมปรารถนาที่จะมีความจำที่ดี
จำได้แม่นยำ โดยมีวิธีจะช่วยให้ผู้เรียนมีความจำที่ดีขึ้น สามารถทำได้โดย
1.5 วิธีความจำ
1.1 ฟิตแอนด์เฟิร์สมองด้วยการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายไม่ได้มีไว้สำหรับคนอยากมีสุขภาพดีเท่านั้น
แต่การออกกำลังกายก็จะทำให้สมองได้ออกกำลังกายไปด้วย เพราะขณะที่ร่างกายเคลื่อนไหวสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้น
ซึ่งเป็นประโยชน์ต่การทำงานของสมอง
และยังไปกระตุ้นสารเคมีในสมองเกี่ยวกับความจำให้ทำงานดีขึ้นด้วย
1.2 ใช้อารมณ์ในการจำบ้าง
วิธีนี้อาจฟังดูแปลก ๆ “อารมณ์” เป็นเหตุผลที่ทำให้สองเหตุการณ์ให้ผลลัพธ์ต่างกัน
ก็เพราะว่าสิ่งที่เราทำด้วยอารมณ์หรือความรู้สึกจะทำให้เราจำได้แม่นขึ้น
1.3 หาอะไรใหม่ ๆ
ที่ท้าทายการทำกิจกรรมเดิม ๆ อาจจะเบื่อ ลองหาอะไรใหม่ ๆ
ทำดูบ้างจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจ ทำให้รู้สึกกระปี้กระเปร่า
ยังทำให้เซลล์สมองได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ บางคนเข้าใจผิดคิดว่าการใช้สมองมากเกินไปไม่ดี
แต่ความเป็นจริงแล้วยิ่งใช้สมองมากเท่าไรสมองก็จะยิ่งพัฒนาขึ้นเท่านั้น
ซึ่งแน่นอนว่าความจำเราจะดีไปด้วย
1.4 แค่หัวเราะความจำก็เพิ่มขึ้น
การหัวเราะถือเป็นยาที่ดีที่สุด ซึ่งการหัวเราะเกี่ยวข้องกับสมองโดยตรง
เพราะเวลาที่เราหัวเราะจะหลั่งสารเอนโดรฟิน
ทำให้ร่างกายมีความสุขสมองก็จะถูกกระตุ้นในทางที่ผ่อนคลาย ทางที่ดีอย่าเครียด
อารมณ์ดี หัวเราะบ่อย ๆ จะเป็นผลดีต่อสมองและระบบความจำ
1.5 นั่งสมาธิก่อนนอน
การนั่งสมาธิถือว่าเป็นเทคนิคขั้นเทพที่ช่วยพัฒนาสมอง การนั่งสมาธิก่อนนอนเพียงวันละไม่กี่นาที
ความจำก็จะดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
เคยมีการทดลองมาแล้วว่าคนที่นั่งสมาธิเป็นเวลานาน ๆ จะมีเซลล์สมองเพิ่มมากขึ้น
การทำงานของคลื่นสมองก็จะดีขึ้น ดังนั้น ถ้าอยากจำแม่น จำได้นาน ก็ควรฝึกนั่งสมาธิ
2. 6 วิธีเปลี่ยนความจำระยะสั้น เป็นความจำระยะยาว ความจำระยะสั้น คือ
ความจำที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว เมื่อเวลาผ่านไปเราก็จะลืมสนิท ส่วนความจำระยะยาว
คือ ความจำที่อยู่กับเราอย่างถาวร เปรียบเสมือนคลังข้อมูลใหญ่ ๆ ที่บรรจุข้อมูลไว้
ซึ่งความจำระยะยาวของแต่ละคนจะมีศักยภาพที่แตกต่างกัน ผู้เขียนจึงขอแนะนำวิธีคลายความจำสั้นเป็นความจำระยะยาว
คือ
2.1 ทำความเข้าใจแทนการท่อง
การสร้างความจำระยะยาวที่ดี ควรทำความเข้าใจเนื้อหาคิดให้เป็นลำดับ
ข้อมูลก็จะอยู่ในสมองนานกว่าการท่อง
2.2 อ่านพร้อมเสียงหรือติวให้เพื่อน
การอ่านออกเสียงได้ประโยชน์มากกว่าการอ่านในใจ ในเมื่อตาก็ได้ดูเนื้อหาและหูก็ได้ยินเสียง
ซึ่งจะกระตุ้นสมองได้ดี หรือการติวให้เพื่อนก็ทำให้เราแม่นเนื้อหายิ่งขึ้น
เพราะก่อนที่จะสอนคนอื่นได้ก็ต้องหาวิธีเรียบเรียงการสอนให้คนอื่นรู้เรื่องตาม
อีกทั้งยังได้ทบทวนเนื้อหาไปในตัว
2.3 สร้างสูตรเป็นของตนเอง
การสร้างสูตร คือ การทำเนื้อหาขนาดยาวที่จำยากมาก ๆ หรือสับสนมาสร้างเป็นสูตร
ส่วนใหญ่จะเอาพยางค์หรือคำแรกมาสร้างประโยค
2.4 กินอาหารที่มี DHA
เพราะ DHA เป็นกรดที่สำคัญต่อสมองและความจำมากทีเดียว
ส่วนใหญ่จะมีในอาหารประเภทปลา น้ำมันตับปลา หรือพวกวอลนัท
2.5 ออกกำลังกายสมอง
ถ้าอยากให้สมองแข็งแรงมีความจำดี ก็ต้องออกกำลังกายสมองบ้าง เล่นเกมส์ฝึกสมองบ้าง
จะได้มีความจำดีขึ้น
2.6 พักสมองบ้าง
ถ้าสมองล้าเกินไปก็ควรพักบ้าง จะนอนหลับหรือฟังเพลงเบา ๆ ก็ได้
สมาธิกับการเรียน
สมาธิในการเรียน
ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการเรียนช่วยให้สามารถศึกษาหาความรู้ได้อย่างรวดเร็ว
อุปสรรคของสมาธิ
สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อสภาพจิตที่จดจ่อความสนใจในเรื่องราวที่กำลังศึกษา คือ
สิ่งรบกวนภายนอกและสิ่งรบกวนภายใน สิ่งรบกวนภายนอก คือ องค์ประกอบภายนอก เช่น
เสียง แสง สภาพแวดล้อมที่รบกวนสมาธิ สิ่งรบกวนภายใน คือ องค์ประกอบภายในจิตใจ เช่น
ความหิว ความอ่อนเพลีย ความวิตกกังวล ซึ่งรบกวนจิตใจและส่งผลต่อสมาธิในการเรียน
การสร้างสมาธิในการเรียนสามารถทำได้ ดังนี้
คือ หาที่ที่สงบปราศจากเสียงรบกวนในการศึกษาหาความรู้ ขณะที่เรากำลังจดจ่อความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เสียงอาจเป็นตัวทำลายสมาธิ
ฉะนั้นเวลาทำงานหรือทบทวนบทเรียนควรหาสถานที่ที่สงบปราศจากเสียงรบกวน
มีแสงสว่างพอเหมาะสม่ำเสมอ ควรหลีกเลี่ยงแสงสว่างที่เจิดจ้า
ขณะกำลำอ่านหนังสือแสงสว่างก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราเสียสมาธิ ถ้าหากใช้โคมไฟ ควรให้โคมไฟอยู่ด้านซ้ายมือ
และมีความสว่างเพียงพอ แค่นี้ก็จะทำให้เรามีสมาธิในการทบทวนหนังสือแล้ว
การที่คนเราจะเก่งได้นั้นต้องรู้จักปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและรู้จักฝึกฝนปฏิบัติงานให้ถึงเป้าหมายหลาย
ๆ ครั้ง อาจมีสิ่งที่ทำให้เราพลาดหรือได้คะแนนไม่ค่อยดี หรือไม่ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น
หากเราไม่รู้จักปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็จะไม่สามารถพัฒนาและแก้ไขตนเองได้
แต่หากเรารู้จักพัฒนาตนเองและทำแผนพัฒนาตนเองเพื่อเป้าหมายของตนเอง
ความเก่งเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ด้วยตนเอง หากมีความพยายาม
ความมุ่งมั่นและรู้จักนำเทคนิคมาปฏิบัติใช้อย่างสม่ำเสมอ
เพียงแค่นี้คุณก็สามารถเก่งได้แล้ว
นางสาวศุภรดา ขำแก้ว เลขที่ 41 ม.5/1
บรรณานุกรม
โชติกานต์ เที่ยงธรรม. ฉลาดคิด พิชิตเกรด A. กรุงเทพมหานคร : บุ๊คส์ทูยู
โมจิ เคนิจิโร. ความลับของสมอง. กรุงเทพมหานคร : สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย – ญี่ปุ่น)
วิทิยา จันทร์พันธ์. ขโมยสมองไอน์สไตน์. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์
วิสิทธิ์ โรจน์พจนรัตน์. แนะนำวิธีเรียนเก่ง. กรุงเทพมหานคร. กรุงเทพมหานคร : พัฒนาศึกษา
อชิรญา. เรียนไม่เก่ง แค่รู้เคล็ด
ก็เก่งได้. กรุงเทพมหานคร. : แฮปปี้บุ๊ค
ณัฐกานต์ เพชรพงษ์พันธ์. (2555. วันจันทร์/มกราคม). ความหมายเรียนเก่ง. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
:
http
://www.13nn.org/posts/28383. (วันจันทร์ 18
พฤศจิกายน 2556)
ปิยะธิดา หวานแก้ว. (2555. วันพุธ/มีนาคม). สมาธิกับการเรียน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
: http
://thrwikipedia.org. (วันอังคาร 19 พฤศจิกายน 2556)
พวพิมล อยู่ศรี. (2555.วันศุกร์/เมษายน). 4 วิธีจดโน้ต. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
: http ://
women.kapook.com/view
35515.html. (วันศุกร์ 22 พฤศจิกายน 2556)
วนิดา ภูระหงษ์. (2556. วันอังคาร/กุมภาพันธ์). 6 วิธีเปลี่ยนความจำสั้น เป็นความจำระยะยาว.
[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
: http ://sakaeoscience 2012. Blogspot.com
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น